รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ณ นครเซาเปาโล เดือน กันยายน 2564

1. สถานการณ์และมาตรการของรัฐ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มลดลงจากการที่รัฐเร่งการฉีดวัคซีน จนถึงวันที่ 5 กันยายน 2564 บราซิลมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 20,890,779 คน รักษาหาย 19,862,438 คน เสียชีวิต 583,628 คน ในวันที่ 5 กันยายน 2564 มีผู้เสียชีวิต 266 ราย และผู้ป่วยรายใหม่ 12,915 ราย และจนถึงวันที่ 3 กันยายน 2564 ประชาชนที่ได้รับวัคซีน 2 โดส จำนวน 62,971,083 ล้านคน(ร้อยละ 29.56% ของประชากร) และ 1 โดส จำนวน 131,354,713 ล้านคน (ร้อยละ 61.16 ของประชากร)

สถานการณ์การเมืองในบราซิลมีแนวโน้มความร้อนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองของประธานธิบดีโบล์โซนาโรของบราซิลกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม รวมถึงความขัดแย้งด้านการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของประธานธิบดีโบล์โซนาโรกับผู้ว่าการรัฐส่วนใหญ่ และประธานธิบดีโบล์โซนาโรยังมีความขัดแย้งกับผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญของบราซิลในหลายกรณี โดยล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญของบราซิลได้มีการยื่นให้มีการสอบสวนประธานาธิบดีกรณีการอผยแพร่ข่าวปลอมและการสนับสนุนความรุนแรงด้านการเมือง ทั้งนี้ ในวันที่ 7 กันยายน 2564 ได้มีการนัดหมายการชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านประธานธิบดีในหลายเมือง

รัฐบาลกลางบราซิลกำหนด ดังนี้

  • รัฐบาลบราซิลประกาศขยายระยะเวลาห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าบราซิลทางบกและทางน้ำอย่างไม่มีกำหนด ส่วนการเดินทางเข้าบราซิลทางเครื่องบินสามารถทำได้ โดยผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศบราซิลจะต้องมีใบรับรอง negative RT-PCR test and a Health Affidavit (DSV) ซึ่งออกไม่เกิน 72 ชั่วโมง
  • รัฐบาลท้องถิ่นส่วนใหญ่ยังคงใช้มาตรการ Social distancing และ work from home รวมทั้งบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย รัฐเซาเปาโลได้ประกาศลดระดับมาตรการฉุกเฉินลง โดยยกเลิกเคอร์ฟิว และ 1) ให้ธุรกิจการค้าเปิดได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 25.00 น.  แต่สามารถให้ลูกค้าเข้าใช้บริการได้ไม่เกินร้อยละ 40 ของการให้บริการตามปกติ  2) ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน  3) ตั้งแต่ 30 สิงหาคม 2564 สามารถจัดกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก เช่น งานแสดงสินค้า การแข่งขันกีฬา แต่อนุญาตเฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วเท่านั้นที่เข้าร่วมกิจกรรมได้ 4) ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆที่จำเป็นสับหลีกเวลาการเดินทางเพื่อลดความแออัดการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีของบราซิลยังคงออกพบปะกับผู้สนับสนุนทางการเมืองของตน โดยแสดงการคัดค้านมาตรการ Social distancing และ work from home  รวมทั้งมาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง

2. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

2.1 เศรษฐกิจของบราซิลขยายตัว 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่สองของปี 2564 ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์และเมื่อเทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 12.8% ซึ่งดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากการลดลงอย่างมากจากข้อจำกัดของโควิด-19 ในปีที่แล้ว ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 17.8% โดยได้แรงหนุนจากภาคการผลิตเป็นหลัก (25.8 เปอร์เซ็นต์) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตยานยนต์ อุปกรณ์การขนส่งอื่นๆ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และโลหกรรม นอกจากนี้ กิจกรรมบริการเพิ่มขึ้น 10.8% จากการขนส่ง การจัดเก็บ และไปรษณีย์ (25.3 เปอร์เซ็นต์) และการค้า (20.9 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่การเกษตรเพิ่มขึ้น 1.3 เปอร์เซ็นต์โดยผลิตภัณฑ์พืชผลบางชนิด เช่น ถั่วเหลืองและข้าว ด้านรายจ่าย การลงทุนคงที่เพิ่มขึ้น 32.9% และการบริโภคในครัวเรือนเพิ่มขึ้น 10.8% ขณะที่การค้าสุทธิส่งผลลบต่อ GDP เนื่องจากการส่งออกเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการนำเข้า

2.2 การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของบราซิลเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมปี 2564 จาก 0.65 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และเมื่อเทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขาดดุล 0.65 พันล้านดอลลาร์ เป็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรายเดือนครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม เนื่องจากส่วนเกินบัญชีสินค้าลดลงเหลือ 6.27 พันล้านดอลลาร์จาก 6.54 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และช่องว่างรายได้หลักเพิ่มขึ้นเป็น 6.77 พันล้านดอลลาร์จาก 5.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน การขาดดุลบริการลดลงเหลือ 1.34 พันล้านดอลลาร์จาก 2.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม 2563 และรายได้ส่วนเกินเกินดุลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 0.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

2.3 การค้าปลีกในบราซิลในเดือนมิถุนายน 2564 เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบเป็นรายเดือนในเดือนพฤษภาคมปี 2564 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.4% สินค้าที่จำหน่ายเพิ่ม ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในครัวเรือน (0.6%) คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารและวัสดุ (3.3% ) หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสารและเครื่องเขียน (1.4% )และผลิตภัณฑ์อื่นๆ สำหรับการใช้งานส่วนตัวและในบ้าน (6.7% ) ในขณะเดียวกัน ยอดขายผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอางลดลง (-1.4% ) เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเติบโตขึ้น 16% โดยได้แรงหนุนจากผลกระทบพื้นฐานหลังจากการลดลงอย่างมากในเดือนพฤษภาคม 2563 และในวงกว้างซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดที่เพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อพิจารณา 5 เดือนแรกของปี 2564 ยอดค้าปลีกเติบโตขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

2.4 อัตราเงินเฟ้อประจำปีในบราซิลเพิ่มขึ้นเป็น 8.99% ในเดือนกรกฎาคมปี 2564 จาก 8.35% ในเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกันเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับปัญหาอุปทานทั่วโลก ผลกระทบของค่าเงินที่อ่อนค่าลง และภัยแล้งที่รุนแรง สินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ การขนส่ง (15.90%) เนื่องจากเชื้อเพลิง (41.30%); อาหารและเครื่องดื่ม (13.25%); ของใช้ในครัวเรือน (ร้อยละ 12.21) ได้แก่ โทรทัศน์ เครื่องเสียง และคอมพิวเตอร์ (15.57%) และที่อยู่อาศัย (11.21%) ซึ่งไฟฟ้า (20.09%) ซึ่งประสบปัญหาภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษส่งผลกระทบต่อเขื่อนพลังน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักของประเทศ เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.96% สูงที่สุดในรอบ 7 เดือน โดยที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากที่สุด (3.1%)

2.5 ธนาคารกลางของบราซิลประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สี่ในปี 2564 และสูงสุดในรอบเกือบสองทศวรรษ โดยได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย Selic ขึ้น 1% เป็น 5.25% เพื่อบรรเทาสถานการณ์เงินเฟ้อที่สุงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน

2.6 ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจในบราซิลขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนที่ 62.0 ในเดือนกรกฎาคม 2564 จาก 61.7 ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ 2.5 ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 56.4 ในเดือนมิถุนายน 2021 จาก 53.7 ในเดือนก่อนหน้า ชี้ให้เห็นถึงการเร่งดำเนินการในโรงงานอีกครั้งและเป็นก้าวที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อและผลผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เพิ่มการซื้อปัจจัยการผลิตและจำนวนพนักงานในอัตราที่กำหนด ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตยังคงเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบและราคาขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบและค่าเงินที่อ่อนตัวทั่วโลกทำให้เกิดแรงกดดันเพิ่มเติมต่อภาระต้นทุน ด้านสต็อกมีอัตราการเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ทั้งในสต็อกสินค้าที่ซื้อและสินค้าสำเร็จรูป ในที่สุด ระดับความเชื่อมั่นในเชิงบวกโดยรวมก็แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนในเดือนมิถุนายน

2.7 ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจภาคบริการเพิ่มขึ้นเป็น 54.4 ในเดือนกรกฎาคมปี 2564จาก 53.9 ในเดือนก่อนหน้า ขยายตัวต่อเนื่องเป็นครั้งที่สองในภาคบริการซึ่งเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2013 หนุนให้ผลผลิตขยายตัวได้ชัดเจนที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2556 ในขณะเดียวกัน สภาวะอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นก็นำไปสู่การสะสมปริมาณธุรกิจที่โดดเด่นเป็นประวัติการณ์ร่วมกันได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งส่งผลให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้น ด้านราคา เนื่องจากทั้งต้นทุนนำเข้าและค่าใช้จ่ายในการผลิตยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ในอัตราที่อ่อนตัวลง

2.8 อัตราการว่างงานของบราซิลลดลงเหลือ 14.1% ในไตรมาสที่สองของปี 2564 จาก 14.7% ในไตรมาสเดือนมีนาคม และเมื่อเทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 14.4% ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน การระบาดใหญ่ในบราซิลอยู่ภายใต้การควบคุมแม้จะมีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ทำลายสถิติในเดือนมิถุนายน ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีสัญญาณดีขึ้น จำนวนผู้ว่างงานลดลง 361,000 คนเป็น 14.44 ล้านคน ในขณะที่จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 2,141,000 คนเป็น 87.79 ล้านคน ในขณะเดียวกัน อัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานเพิ่มขึ้น 0.9 จุดเป็น 57.7 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.2 จุดเป็น 49.6 เปอร์เซ็นต์

2.9 การเกินดุลการค้าของบราซิลเพิ่มขึ้นเป็น 7.7 พันล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม 2564 จาก 5.8 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และเปรียบเทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเกินดุล 7.2 พันล้านดอลลาร์ การส่งออกเพิ่มขึ้น 49.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีสู่ 27.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากสินค้าอุตสาหกรรม (32.9 เปอร์เซ็นต์) ผลิตภัณฑ์จากเหมือง (113.3 เปอร์เซ็นต์) และสินค้าเกษตร (19.4%) ในบรรดาคู่ค้าหลัก ยอดขายเพิ่มขึ้นไปยังจีน ฮ่องกง และมาเก๊า (41.3 เปอร์เซ็นต์) สหภาพยุโรป (60.6 เปอร์เซ็นต์) สหรัฐฯ (57.3 เปอร์เซ็นต์) และอาร์เจนตินา (47.7 เปอร์เซ็นต์) ในขณะเดียวกัน การนำเข้าขยายตัว 61.1% เป็น 19.5 พันล้านดอลลาร์ จากสินค้าอุตสาหกรรม (57.1 เปอร์เซ็นต์) ผลิตภัณฑ์จากเหมืองแร่ (262.4 เปอร์เซ็นต์) และสินค้าเกษตร (26.7 เปอร์เซ็นต์) ในบรรดาคู่ค้ารายใหญ่ การนำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีน ฮ่องกง และมาเก๊า (53.5 เปอร์เซ็นต์) สหภาพยุโรป (24.6 เปอร์เซ็นต์) สหรัฐฯ (105.1 เปอร์เซ็นต์) และอาร์เจนตินา (52.7 เปอร์เซ็นต์)

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซาเปาโล ขอเรียนว่า การที่เศรษฐกิจของบราซิลในปี 2564 มีการฟื้นตัวได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจของบราซิลมีการแรงขับเคลื่อนสำคัญจากความต้องการสินค้าด้านการเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบราซิล รวมทั้งการฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ภาคการบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวของบราซิลพึ่งพาการท่องเที่ยวจากภายในประเทศเป็นหลักจึงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 น้อยกว่าประเทศที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ประกอบกับประชาชนจำนวนมากเริ่มยอมรับและปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในสถานการณ์การแพร่ระบาดได้มากขึ้น กิจกรรมต่างๆทางเศรษฐกิจจึงเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 เริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์จากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ในส่วนของสินค้าเกษตรหลายตัวก็เริ่มประสบปัญหาเนื่องจากสภาพอากาศในปีนี้ของบราซิลมีความผันผวนอย่างสูง มีฝนตกน้อยกว่าปกติอย่างมากส่งผลให้ปริมาณน้ำสำรองในแหล่งน้ำต่างๆลดต่ำสุดในรอบกว่า 70 ปี บราซิลจึงเริ่มประสบปัญหาด้านน้ำและพลังงานเป็นอย่างมากเนื่องจากการผลิตไฟฟ้าของบราซิลพึ่งพาพลังงานน้ำเป็นหลัก รวมทั้งน้ำก็ปัจจัยสำคัญในการผลิตพืชผลการเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งอาจส่งผลการให้กิจกรรมด้านเศรษฐกิจชะลอตัวลงได้

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบภาวะค่าครองชีพของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และค่าอาหาร ส่งผลให้ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ในขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้ามีราคาสูงขึ้นกว่าร้อยละ 50 จากต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 อย่างมาก ส่งผลให้มีการลดการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าที่ไม่จำเป็นลง

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

OMD KM

FREE
VIEW