๑. สถานการณ์เศรษฐกิจอิตาลีโดยรวม
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ คณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่า เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะสามารถขยายตัว ๕.๐% ในปีนี้ (ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้เดิม) และจะยังขยายตัวต่อเนื่องได้ในปี ๒๕๖๕ – ๒๕๖๖ ที่ร้อยละ ๔.๓ และ ๒.๕ ตามลำดับ แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – ๑๙ ระลอกที่ ๔ และการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด – ๑๙ สายพันธุ์โอไมครอน ได้ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายประเทศในยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้หลายประเทศได้ประกาศมาตรการควบคุมและป้องกันสถานการณ์การแพร่เชื้อดังกล่าวแล้ว โดยอิตาลีได้มีการเตรียมมาตรการควบคุมและป้องกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น หากอิตาลีต้องมีการประกาศมาตรการควบคุมต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์การแพร่ระบาดขยายตัวเพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจและการค้าภายในประเทศ รวมถึงการค้ากับประเทศคู่ค้าในสหภาพยุโรปเกิดการชะลอตัวไม่มากก็น้อย
สถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) ได้แสดงรายงานเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจอิตาลีในเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ ว่า เศรษฐกิจระหว่างประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานซึ่งอาจส่งผลให้ภาคการผลิตของโลกเกิดการหยุดชะงักในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ โดย ISTAT คาดว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศอิตาลี (GDP) ของไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๔ อยู่ที่ ๒.๖% เทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า และอยู่ที่ ๓.๘% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ GDP ของอิตาลี ปี ๒๕๖๔ อยู่ที่ ๖.๑% ในเดือนกันยายน ๒๕๖๔ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเฉลี่ยในไตรมาสที่ ๓ ดัชนีราคาผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๐% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สำหรับตลาดแรงงานในเดือนกันยายน ๒๕๖๔ มีสัญญาณดีขึ้น โดยมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ว่างงานลดลง
๒. ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
๒.๑ ดัชนีการบริโภค จากข้อมูลของสมาพันธ์การค้าของอิตาลี (Confcommercio) แสดงให้เห็นว่า ช่วงปลายปี ๒๕๖๔ ที่จะมาถึงอาจมีปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศเกิดการชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – ๑๙ สายพันธุ์ใหม่ ความตึงเครียดด้านเงินเฟ้อ และอุปสงค์ของครัวเรือนที่อาจชะลอตัวตามแนวโน้มที่ลดลงของการเติบโตในปี ๒๕๖๕ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสถานการณ์ของประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรป เศรษฐกิจอิตาลีโดยรวมยังมีแนวโน้มที่ค่อนข้างดี โดยเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ ดัชนีการบริโภคเพิ่มขึ้น ๓.๔% หากเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ การใช้จ่ายของครัวเรือนอิตาลีในสินค้าลดลง ๒.๐% แต่การใช้จ่ายในส่วนของบริการเพิ่มขึ้น ๒๑.๔% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเฉพาะการใช้จ่ายบริการด้านโรงแรมและการทานอาหารนอกบ้านขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก +๓๔.๕% ซึ่งถือเป็นช่วงของฤดูเทศกาลท่องเที่ยว พักผ่อนที่ยังคงมีจำนวนประชาชนที่ยังคงใช้จ่ายในค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก รองลงมา ได้แก่ ด้านนันทนาการ +๙.๘% สินค้าและบริการสำหรับการดูแลส่วนบุคคล +๓.๓% สินค้าและบริการสำหรับที่อยู่อาศัย +๑.๘% และสินค้าเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า +๐.๔% สำหรับการใช้จ่ายที่หดตัวลดลงมากที่สุด ได้แก่ สินค้าและบริการสำหรับการเดินทาง -๑๒.๐% โดยเฉพาะสินค้ายานยนต์ -๓๗.๐% รองลงมา ได้แก่ การใช้จ่ายสำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และใบยาสูบ -๐.๓% และสินค้าและบริการสำหรับการสื่อสาร -๐.๒%
๒.๒ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบริษัท สถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) แสดงการคาดการณ์ว่า ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงลดลง แต่ความเชื่อมั่นของบริษัทเพิ่มขึ้นหากเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง (จาก ๑๑๘.๔ มาอยู่ที่ ๑๑๗.๕) เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงไม่แน่นอน (จาก ๑๔๒.๒ มาอยู่ที่ ๑๓๙.๘) ความเชื่อมั่นส่วนบุคคล (จาก ๑๑๐.๔ มาอยู่ที่ ๑๑๐.๐) ความเชื่อมั่นต่ออนาคต (จาก ๑๒๕.๔ มาอยู่ที่ ๑๒๑.๐) แต่ความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้น (จาก ๑๑๓.๗ มาอยู่ที่ ๑๑๕.๒) ขณะที่ความเชื่อมั่นของบริษัทที่เพิ่มขึ้น (จาก ๑๑๕.๐ มาอยู่ที่ ๑๑๕.๑) เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมด้านการผลิตที่เพิ่มขึ้น (จาก ๑๑๕.๑ มาอยู่ที่ ๑๑๖.๐) และภาคธุรกิจค้าปลีก (จาก ๑๐๕.๔ มาอยู่ที่ ๑๐๖.๘) ในทางตรงกันข้ามความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจบริการลดลง (จาก ๑๑๒.๑ มาอยู่ที่ ๑๑๑.๓) และภาคธุรกิจก่อสร้าง (จาก ๑๕๙.๒ มาอยู่ที่ ๑๕๗.๔)
๒.๓ ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) สถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) แสดงตัวเลขคาดการณ์ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ๐.๗% (จาก ๑๐๔.๙ เป็น ๑๐๕.๖) หากเทียบกับเดือนก่อนหน้า เป็นผลมาจากราคาสินค้าด้านพลังงาน (+๑๗.๐%) และราคาสินค้าอาหารที่ยังไม่ แปรรูป (+๐.๗%) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่หากเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้น ๓.๐% (จาก +๒.๕% ของเดือนก่อนหน้า) ซึ่งมาจากราคาสินค้าด้านพลังงานที่ยังคงมีราคาเพิ่มสูงขึ้น (+๒๔.๙% จาก ๒๐.๒%) ราคาสินค้าอาหาร (+๑.๑% จาก +๑.๐%) และราคาการบริการด้านการเดินทาง (+๒.๔% จาก +๒.๐%)
๒.๔ ดัชนีราคาผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Producer Price) ตัวเลขของสถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตด้านอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ หากเทียบกับเดือนก่อนหน้าขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ๗.๑% โดยราคาตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ๙.๔% และตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ๐.๘% (+๐.๘% ในยูโรโซน และ +๐.๘% นอกยูโรโซน) ขณะที่หากเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ ดัชนีราคาผู้ผลิตด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ๒๐.๔% โดยราคาตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ๒๕.๓% และตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ๘.๓% (+๘.๙% ในยูโรโซน และ +๗.๘% นอกยูโรโซน)
๒.๕ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) สำนักงานสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) แสดงตัวเลขคาดการณ์ว่า ในเดือนกันยายน ๒๕๖๔ การผลิตด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ๐.๑% หากเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยมาจากสินค้าบริโภคอุปโภค (+๓.๓%) สินค้าพลังงาน (+๑.๓%) และสินค้าขั้นกลาง (+๐.๙%) ที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ในขณะที่การผลิตสินค้าทุนลดลง (-๑.๐%) ขณะที่หากเทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๖๓ การผลิตด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น (+๔.๔%) มีปัจจัยมาจากการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าขั้นกลาง (+๗.๑%) สินค้าทุน (+๔.๙%) และสินค้าอุปโภคบริโภค (+๔.๕%) ในขณะที่ สินค้าพลังงาน ลดลง (-๔.๒%) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น (+๑๓.๓%) ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักร (+๑๑.๔%) และภาคอุตสาหกรรมการผลิตโลหะและผลิตภัณฑ์โลหะ (+๙.๖%)
๒.๖ การค้าระหว่างประเทศ สำนักงานสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) แสดงตัวเลขในเดือนกันยายน๒๕๖๔ การนำเข้าของอิตาลีหดตัวลดลง ๑.๗% (เทียบกับเดือนก่อนหน้า) รวมถึงการส่งออกของอิตาลีไปยังตลาดต่างประเทศลดลง ๑.๓% (เทียบกับเดือนก่อนหน้า) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศในสหภาพยุโรปลดลง (-๑.๕%) รวมถึงการส่งออกไปยังประเทศนอกสหภาพยุโรปก็ลดลงเช่นกัน (-๑.๐%) โดยไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๖๔ การส่งออกของอิตาลีเพิ่มขึ้น ๒.๘% และการนำเข้าของอิตาลีเพิ่มขึ้น ๕.๕% เทียบกับไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๖๔ หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าพบว่า อิตาลีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ๒๒.๕% โดยเฉพาะการนำเข้าจากประเทศนอกสหภาพยุโรป (+๓๒.๕%) ในขณะที่อิตาลีส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เพิ่มขึ้น ๑๐.๓% โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป (+๑๕.๐%) โดยสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ สินค้าปิโตรเลียมกลั่น (+๑๒๑.๖%) สินค้าโลหะและผลิตภัณฑ์โลหะ (ไม่รวมเครื่องจักรและอุปกรณ์ติดตั้ง) (+๑๕.๕%) สินค้าสารเคมีและส่วนผสม (+๒๒.๑%) และสินค้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ (๗.๘%) เป็นต้น โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ เยอรมนี (+๑๒.๕%) สเปน (+๒๑.๔%) เบลเยี่ยม (+๒๗.๕%) และฝรั่งเศส (+๑๑.๗%) ขณะที่ตลาดส่งออกที่มีการส่งออกลดลง ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ (-๑๐.๔%) สหรัฐอเมริกา (-๒.๓%) และญี่ปุ่น (-๘.๙%) เป็นต้น
๒.๗ การค้าปลีก สถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี (ISTAT) คาดการณ์ข้อมูลว่า ในเดือนกันยายน ๒๕๖๔ การค้าปลีกเพิ่มขึ้น (+๐.๘% ในด้านมูลค่า และ +๐.๖% ในด้านปริมาณ) เทียบกับเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยมาจากการค้าปลีกสินค้าบริโภคที่เพิ่มขึ้น (+๐.๖% ด้านมูลค่า และ +๐.๓% ด้านปริมาณ) และสินค้าอุปโภค (+๑.๑% ด้านมูลค่า และ +๐.๘% ด้านปริมาณ) ขณะที่หากเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า การค้าปลีกเพิ่มขึ้น (+๕.๓% ด้านมูลค่า และ ๓.๙% ในด้านปริมาณ) โดยการค้าปลีกสินค้าอุปโภคเพิ่มขึ้น (+๗.๓% ด้านมูลค่าและ +๕.๗% ด้านปริมาณ) ขณะที่สินค้าบริโภคเพิ่มขึ้น (+๒.๕% ด้านมูลค่าและ +๑.๔% ด้านปริมาณ) ทั้งนี้ การค้าปลีกสินค้าอุปโภคเติบโตในทุกประเภท โดยเฉพาะสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน วิทยุ โทรทัศน์ (+๒๖.๓%) แต่สินค้าเฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และของตกแต่งลดลง (-๐.๗%) ขณะที่หากพิจารณาจากช่องทางการจำหน่ายพบว่า การค้าปลีกในทุกช่องทางเพิ่มขึ้น (ซุปเปอร์มาร์เก็ต/ไฮเปอร์มาร์เก็ต +๒.๘% ร้านค้าปลีกขนาดย่อย +๖.๓% การจำหน่ายนอกร้านค้า +๗.๖% และช่องทางออนไลน์ +๑๘.๘%)
๓. สถานการณ์การค้าไทย – อิตาลี
๓.๑ การค้าไทย – อิตาลี
๓.๒ การส่งออกของไทยไปอิตาลี ระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นมูลค่าทั้งสิ้น ๑,๕๕๕.๓๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๖๓ ซึ่งการส่งออกมีมูลค่า ๑,๑๗๘.๘๑ ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น ๓๕.๙๕% โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ ๑๐ อันดับแรก ดังนี้
๓.๓ การนำเข้าของอิตาลี ข้อมูลจาก Global Trade Atlas แสดงให้เห็นว่า ในระหว่างเดือนมกราคม – สิงหาคม ๒๕๖๔ อิตาลีนำเข้าจากทั่วโลกมูลค่า ๓๕๑,๑๖๓.๗ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๖๓ ซึ่งการนำเข้ามีมูลค่า ๒๖๔,๕๐๘.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น ๓๒.๗๖% โดยประเทศที่อิตาลีนำเข้าสูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี มูลค่า ๕๖,๗๒๙.๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น ๓๓.๔๔%) ฝรั่งเศส มูลค่า ๒๙,๔๓๓.๔ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น ๓๔.๙๕%) จีน มูลค่า ๒๘,๗๐๑.๗ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น ๑๘.๖๗%) เนเธอร์แลนด์ มูลค่า ๒๐,๖๗๙.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น ๓๒.๙๐%) และสเปน มูลค่า ๑๘,๖๗๖.๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น ๓๓.๔๘%) ซึ่งแหล่งนำเข้าที่สำคัญของอิตาลีส่วนใหญ่เป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
โดยประเทศคู่แข่งของไทยที่สำคัญในทวีปเอเชีย ได้แก่ อินเดีย (อันดับที่ ๑๗) มูลค่า ๔,๗๙๑.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๕๒.๕๙%) ญี่ปุ่น (อันดับที่ ๒๒) มูลค่า ๓,๕๗๓.๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๔๓.๙๐%) เกาหลีใต้ (อันดับที่ ๒๖) มูลค่า ๓,๒๐๑.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ ๓๙.๒๔%) เวียดนาม (อันดับที่ ๒๙) มูลค่า ๒,๖๗๗.๒ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๒๒.๑๓%) ไต้หวัน (อันดับที่ ๓๘) มูลค่า ๑,๗๑๕.๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๓๙.๔๙%) อินโดนีเซีย (อันดับที่ ๓๙) มูลค่า ๑,๖๘๓.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๑๘.๙๔%) และไทย อยู่ในอันดับที่ ๔๔ มูลค่า ๑,๔๖๐.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๕๕.๔๒%)
๓.๔ การนำเข้าสินค้าไทยจากอิตาลี ระหว่างเดือนมกราคม – สิงหาคม ๒๕๖๔ เป็นมูลค่าทั้งสิ้น ๑,๔๖๐.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๖๓ ซึ่งการนำเข้ามีมูลค่า ๙๓๙.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น ๕๕.๔๒% โดยมีสินค้านำเข้าที่สำคัญ ๕ อันดับแรก ได้แก่
มูลค่า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) | มูลค่า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) | มูลค่า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) | สัดส่วน (%) | |
รายการ | ม.ค.- ต.ค ๖๓ | ม.ค. – ต.ค. ๖๔ | อัตราขยายตัว (%) | |
๑. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (พิกัด ๘๔) | ๒๑๒.๗ | ๓๓๕.๗ | ๕๗.๘๒ | ๒๒.๙๙ |
๒. เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า (พิกัด ๘๕) | ๑๐๖.๕ | ๒๑๙.๒ | ๑๐๕.๘๖ | ๑๕.๐๑ |
๓. ยางและของที่ทำด้วยยาง (พิกัด ๔๐) | ๙๘.๒ | ๑๙๕.๘ | ๙๙.๓๒ | ๑๓.๔๑ |
๔. ยานบก (พิกัด ๘๗) | ๗๗.๑ | ๑๘๑.๐ | ๑๓๔.๙๕ | ๑๒.๔๐ |
๕. กากและเศษที่เหลือจากอุตสาหกรรมผลิตอาหาร อาหารที่จัดทำไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ (พิกัด ๒๓) | ๘๑.๕ | ๙๕.๖ | ๑๗.๒๒ | ๖.๕๕ |
โดยสินค้านำเข้าสำคัญ ๕ อันดับแรกของไทยที่อิตาลีนำเข้าจากประเทศคู่แข่งในทวีปเอเชียในระหว่างเดือนมกราคม – สิงหาคม ๒๕๖๔ ได้แก่
– ญี่ปุ่น สินค้ายานบก มูลค่า ๑,๐๕๓.๑ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๔๕.๐๓%) สินค้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า ๘๗๔.๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๕๒.๙๐%) และสินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า ๒๒๔.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๔๖.๒๘%)
– อินเดีย สินค้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า ๔๑๘.๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๕๐.๔๒%) สินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า ๒๘๑.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๘๙.๒๔%) และสินค้ายานบก มูลค่า ๑๖๙.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๗๖.๑๑%)
– เกาหลีใต้ สินค้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า ๔๑๘.๕ ล้านเหรียญสหรัฐ (+๕๐.๔๒%) สินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ ๒๘๑.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๘๙.๒๔%) และสินค้ายานบก มูลค่า ๑๖๙.๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+๗๕.๑๑%)
– เวียดนาม สินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า มูลค่า ๗๑๖.๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (-๙.๙๘%) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า ๒๑๔.๑ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (-๑๕.๑๗%) และสินค้ายานบก มูลค่า ๑๔๙.๗ ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ ๔๖.๑๔%)
๔. การคาดการณ์แนวโน้มสินค้า
จากการสำรวจของศูนย์วิจัย FINDOMESTIC ร่วมกับ Emuratra ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพบว่า แนวโน้มการซื้อสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๑.๖% ซึ่งถือเป็นสัญญานที่ดีหลังจากที่ตัวเลขติดลบในเดือนกันยายนที่ผ่านมา (-๕.๘%) โดยความต้องการซื้อสินค้าที่นำมาประกอบ/ติดตั้งเองมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ๒๒.๙% ซึ่งทำให้เห็นว่าแนวโน้มของการซื้อสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ สำหรับการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ที่กำลังจะมาถึง โดย ๑๖% ของผู้ให้สัมภาษณ์มีความกังวลต่อราคาสินค้าที่อาจมีราคาสูงเนื่องจากรายได้ของครอบครัวที่ลดลงเป็นอย่างมาก ๒๗% ของผู้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ และ ๑๙% ของผู้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่ามีความกังวลต่อสุขภาพ โดยรายละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มสินค้าแบ่งได้ ดังนี้
– พาหนะยานยนต์: จากช่วงเดือนกันยายน ๒๕๖๔ ที่ความตั้งใจซื้อพาหนะยานยนต์ของชาวอิตาเลียนลดลง แต่ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๔ ความตั้งใจซื้อพาหนะยานยนต์ของชาวอิตาเลียนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ช่วงระยะเวลาส่งมอบรถยนต์ยังคงใช้ระยะเวลานานและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสิ่งจูงใจใหม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดยานยนต์ โดยแนวโน้มความตั้งใจซื้อรถยนต์ใหม่ปรับเพิ่มขึ้น (+๑.๓%) และรถยนต์มือสองปรับเพิ่มขึ้น (+๓.๒%) แต่แนวโน้มดังกล่าวยังห่างไกลจากสถานการณ์ก่อนเกิดโควิด-๑๙ รวมถึงความต้องการซื้อ e-bike ขยายตัวเพิ่มขึ้น (+๙.๒%) สำหรับแนวโน้มความตั้งใจซื้อรถจักรยานยนต์ลดลง (-๗.๙%) อันเนื่องมาจากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว
– ด้านเทคโนโลยี: ช่วงเทศกาลลดราคาสินค้า Black Friday และ Cyber Monday สนับสนุนให้สินค้าเทคโนโลยีได้รับความสนใจมากที่สุด โดยแนวโน้มการตั้งใจซื้อสินค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ แท็บเล็ต/e-book (+๑๐.๒%) และกล้องถ่ายรูป/กล้องวิดีโอ (+๘.๒%) ส่วนแนวโน้มการตั้งใจซื้อสินค้าที่หดตัวลดลง ได้แก่ โทรศัพท์ (-๓.๘%) และคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (-๑.๔%)
– ที่อยู่อาศัย: จากการที่รัฐบาลอิตาลีได้ขยายเวลาของโครงการ Superbonus ๑๑๐% ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ประกอบกับช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ได้ส่งผลให้ชาวอิตาเลียนมีแนวโน้มความตั้งใจปรับปรุงและซ่อมแซมบ้านหดตัวลดลง (-๖.๓%) รวมถึงความตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัย (-๓.๘%) แต่แนวโน้มความตั้งใจซื้อสินค้าเฟอร์นิเจอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้น (+๑.๗%)
– เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน: จากเทศกาลลดราคา Black Friday ได้ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเป็นอย่างมาก โดยแนวโน้มการซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น (+๕.๕%) (ราคาใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ ๑,๐๗๐ ยูโร) เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กขยายตัวเพิ่มขึ้น (+๑๑.๙%) (ราคาใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ ๒๗๕ ยูโร) แต่แนวโน้มการซื้อโทรทัศน์/WIFI หดตัวลดลง (-๓.๘%) (ราคาใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ ๘๒๐ ยูโร)
๕. ข้อคิดเห็น
๕.๑ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมิลาน มีความเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของอิตาลีโดยรวมค่อย ๆ เริ่มมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในอิตาลีและประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ในช่วง ๑ เดือนที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เศรษฐกิจและการค้าของอิตาลีและประเทศคู่ค้าของอิตาลีเกิดการชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลอิตาลีมีการประกาศมาตรการควบคุมและป้องกันสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศก่อนสิ้นปี ๒๕๖๔ อาจจะส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนในช่วงเทศกาลคริสมาสต์อาจมีจำนวนลดลงอย่างมาก โดยขณะนี้ อิตาลียังสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – ๑๙ ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๕.๒ การค้าระหว่างไทย-อิตาลีในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม ๒๕๖๔ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยมายังตลาดอิตาลีขยายตัวเพิ่มขึ้น ๓๑.๙๕% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวของสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ๔ อันดับแรกที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ๑) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+๓๙.๘๐%) ๒) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+๓๓.๒๕%) ๓) ผลิตภัณฑ์ยาง (+๔๙.๗๕%) และ ๔) อาหารสัตว์เลี้ยง (+๕.๖๐%) โดยพบว่าระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม ๒๕๖๔ สินค้าส่งออกของไทยมายังอิตาลี ๑๐ อันดับแรก มีมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมถึงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยถึงแม้จะยังคงติดลบ แต่พบว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าดังกล่าวมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และราคาค่าขนส่งทางเรือที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากและยังไม่มีทีท่าที่จะปรับลดลงภายในสิ้นปี ๒๕๖๔ อาจส่งผลให้สินค้าที่นำเข้าจากไทยเกิดการส่งมอบล่าช้า สินค้าขาดตลาด และการปรับขึ้นราคาสินค้า รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้นำเข้าอิตาเลียนอาจหันไปนำเข้าสินค้าบางรายการจากประเทศที่ราคาค่าขนส่งไม่สูงเท่าทางฝั่งเอเชียก็เป็นได้