รายงานสถานการณ์การค้าสเปน ณ กรุงมาดริด เดือนเมษายน 2565

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปน

แนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง

สเปนเป็นตลาดสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่อันดับ 5 ของยุโรป รองจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี โดยจำนวนสัตว์เลี้ยงที่ลงทะเบียนในสเปนมีมากกว่า 29 ล้านตัวในปี 2564 ในจำนวนนี้เป็นสุนัขราว 9.3 ล้านตัว และแมว 5..8 ล้านตัว ข้อมูลจาก Triton’s report คาดการณ์ว่า ช่วงปี 2565-2569 รายรับของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปนจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 3.23% และ 2.12% ในแง่ปริมาณอาหารสัตว์เลี้ยง โดยในปี 2563 มีจำนวนประชากรที่นำสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงในบ้านเพิ่มขึ้น 1 ตัว หรือมากว่า 1 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขหรือแมว ขณะที่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงในสเปนขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 25% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 

สเปนมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากกว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวนสุนัข แมว กระต่ายในสเปนที่นำมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากปัจจัยทางสังคมและนำสัตว์เลี้ยงมาช่วยการบำบัดให้แก่มนุษย์ จำนวนผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มขึ้นในสเปนที่อาศัยอยู่ตามลำพังได้นำสัตว์มาเลี้ยงเพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้ว้าเหว่ ส่งให้ผลจำนวนสัตว์เลี้ยงในสเปนเพิ่มขึ้น จำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงในสเปนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลต่อตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปน ความปรานีต่อสัตว์เลี้ยงและการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปน   

ประชากรสัตว์ลี้ยงในสเปนปี 2564

ที่มา : European Pet Food Industry Federation

ส่วนแบ่งตลาดของอาหารสัตว์เลี้ยงสำคัญในสเปนมาจากอาหารสุนัขและแมวเป็นหลักจากจำนวนการเป็นเจ้าของและความนิยมในสัตว์เลี้ยงทั้งสองที่มากกว่าเมื่อเทียบกับบรรดาสัตว์เลี้ยงอื่นทั้งหมด และจากการที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงตระหนักถึงสุขภาพของสัตว์เลี้ยงของตนอย่างมาก ได้ส่งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยง ที่เป็นธรรมชาติและออร์แกนิคได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและคาดว่าจะยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความปรานีต่อสัตว์เลี้ยงได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงมุ่งเน้นนำเสนอ อาหารสัตว์เลี้ยงที่คล้ายคลึงกับอาหารของมนุษย์ ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายในประเทศมีความหลากหลายที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืนและระดับพรีเมี่ยม การเพิ่มขึ้นของรายได้ของประชากรยังทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมในสเปนเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยขับเคลื่อนตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปน

ความสนใจในสุขภาพและความกินดีอยู่ดีของสัตว์เลี้ยงในสเปนสร้างยอดขายใน 3 ส่วน ประกอบด้วย อาหาร สุขภาพ และความงาม/สุขภาพอนามัย ตลาดยาสำหรับสัตว์เลี้ยงในสเปนมีมูลค่ามากกว่า 1.6 ล้านยูโร ส่วนอาหารสัตว์เลี้ยงได้สร้างผลตอบแทนถึง 1.2 ล้านยูโร ข้อมูลจาก Spanish Association of Food Manufacturers for Companion Animals (ANFAAC) ระบุว่า รายรับจากอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัวมากที่สุดในสเปนคือ แมว (6.7%) และแม้รายรับจากอาหารสุนัขจะขยายตัวต่ำกว่า (2.1%) แต่รายรับจากอาหารสุนัขมีการขยายตัวสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเภทอาหารสัตว์เลี้ยงนั้น ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทแห้งสำหรับสุนัขขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.8% และ 3.7% สำหรับแมว อย่างไรก็ตาม รายรับอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทเปียกขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าประเภทแห้ง ความนิยมอาหารสุนัขแบบเปียกได้ขับเคลื่อนให้ผู้ผลิตใช้บรรจุภัณฑ์แบบถุงเดี่ยวๆ เพื่อคงความสดใหม่และใช้ง่าย ในภาพรวม รายรับอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขมีมูลค่าถึง 100 ล้านยูโร ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.1% ขนมขบเคี้ยว (snack) สำหรับสัตว์เลี้ยงก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 3.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 สำหรับต้นทุนค่าอาหารสัตว์เลี้ยงต่อเดือนจะผันแปรตามปัจจัยต่างๆ เช่น การขยายพันธุ์สัตว์เลี้ยง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนสำหรับการซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ราว 69.98 ยูโร/เดือน  และเฉพาะต้นทุนอาหารสุนัขเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 499 ยูโร รวมทั้งอุปกรณ์อาหารต่างๆ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดได้จุดประกายให้การจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงผ่าน E-commerce ขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% ในปี 2563  ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงดังกล่าวเนื่องจากราคาอาหารสัตว์เลี้ยงที่ถูกและจัดส่งสินค้าถึงบ้าน อย่างไรก็ตาม ร้านค้าเฉพาะซึ่งจัดตั้งอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ก็ได้รับผลได้เช่นกันเมื่อเทียบกับร้านค้าขนาดเล็กในละแวกบ้านเรือน ในสเปนมีสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงราว 5,400 แห่ง รวมทั้งร้านค้าสัตว์เลี้ยงที่มีราว 3,000 แห่ง และศูนย์สุขภาพสัตว์ราว 2,400 แห่งที่ตั้งอยู่ในร้านค้าสัตว์เลี้ยงร่วมกัน

โรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปนมีประมาณ 12 แห่ง มีการจ้างงานราว 1,700 คน ส่วนใหญ่เป็นสตรี ในแง่การแข่งขัน ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปนที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงนำโดยบริษัท Grupo Bynsa, Affinity Petcare SA, Dibaq Group และ Mercadona บริษัทเหล่านี้มุ่งเสนออาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมแก่สัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก และจากแนวโน้มการให้ความสำคัญต่อสุขภาพและความกินดีอยู่ดีของสัตว์เลี้ยงได้ส่งผลต่อทางเลือกของอาหารสุนัขและส่วนผสมของอาหารสุนัข โดยเฉพาะส่วนผสมอาหารธรรมชาติที่มีความต้องการอย่างมากและผู้ผลิตก็ตอบสนองโดยได้พัฒนาและเริ่มผลิตอาหารสุนัขธรรมชาติใหม่ๆ รวมถึงอาหารเปียกใหม่ๆ ที่หลากหลาย เช่น ส่วนผสมอาหารที่อุดมไปด้วยผลไม้สด อาหารเปียกที่ปราศจากกลูเตนและมีส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% และไม่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์พลอยได้จากสัตว์ รวมทั้งอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และปลาสด  อย่างไรก็ตาม ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมและดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงก็สร้างความกังวลให้แก่สัตว์แพทย์หลายคนเกี่ยวกับผลกระทบของอาหารสุขภาพเนื่องจากอาหารเหล่านี้จะทำให้สัตว์เลี้ยงอ้วนหรือบริโภคเกลือที่มากเกินไป ดังนั้น สัตวแพทย์จึงขอให้ผู้บริโภคต้องชั่งน้ำหนักไม่เพียงแต่ในแง่สุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้นแต่รวมถึงการส่งเสริมความต้องการอาหารสุนัขที่ไม่บรรจุเสร็จ และอาหารสุนัขสำเร็จรูป

การค้าระหว่างประเทศ

การนำเข้า

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2562-2564) สเปนมีการนำเข้าอาหารสุนัขและแมวเฉลี่ย 382.6 ล้านยูโร/ปี ในปี 2564 สเปนนำเข้าอาหารสุนัขและแมวรวมมูลค่า 437.3 ล้านยูโร ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 14.7%โดยแหล่งนำเข้าหลักมาจากฝรั่งเศสมากที่สุด (มูลค่า 168 ล้านยูโร ส่วนแบ่งตลาด 38.4%) รองลงมา ได้แก่ เยอรมนี (มูลค่า 69.2 ล้านยูโร ส่วนแบ่งตลาด 15.8%)  เนเธอร์แลนด์ (มูลค่า 53.8 ล้านยูโร ส่วนแบ่งตลาด 12.3%) อิตาลี มูลค่า 32.3 ล้านยูโร ส่วนแบ่งตลาด 7.4%) โปรตุเกส (มูลค่า 29.8 ล้านยูโร ส่วนแบ่งตลาด 6.8%)  และแคนาดา (มูลค่า 14.9 ล้านยูโร ส่วนแบ่งตลาด 3.4%) ขณะที่สเปนนำเข้าอาหารสุนัขและแมวจากไทย อยู่ในอันดับที่ 18 คิดเป็นมูลค่า 0.8 ล้านยูโร และไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสเปน 0.19%  

การส่งออก

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2562-2564) สเปนมีการส่งออกอาหารสุนัขและแมวเฉลี่ย 358.7 ล้านยูโร/ปี ในปี 2564 สเปนส่งออกอาหารสุนัขและแมวรวมมูลค่า 418 ล้านยูโร โดยสเปนส่งออกไปโปรตุเกสมากที่สุด (มูลค่า 103 ล้านยูโร) รองลงมา ได้แก่ ฝรั่งเศส (มูลค่า 80.92 ล้านยูโร) เยอรมนี (มูลค่า 28.8 ล้านยูโร) อิตาลี (มูลค่า 33.6 ล้านยูโร) สหราชอาณาจักร (มูลค่า 13.9 ล้านยูโร) และกรีซ (มูลค่า 12.2 ล้านยูโร 

กฎระเบียบ

การผลิตอาหารสัตว์ รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง ต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบของ EU ที่วางไว้ ได้แก่

  • กฎหมายอาหารทั่วไป (Regulation178/2002) ที่ใช้กับอาหารสัตว์และอนามัยของอาหารสัตว์  
  • กฎระเบียบผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ (Animal By-Products Regulations 1069/2009) และ 142/2011 ซึ่งวางกฎเกณฑ์รายละเอียดเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัตถุดิบของแหล่งกำเนิดที่ใช้ในอาหารสัตว์เลี้ยง (pet food) ข้อกำหนดกระบวนการผลิต (รวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยง) และรูปแบบใบรับรองสุขอนามัยสำหรับนำเข้ามายัง EU
  • กฎระเบียบ 1831/2003 เกี่ยวกับสารเติมแต่งที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารสัตว์ (animal feed) และข้อกำหนดขั้นสูงสุด (maximum limits)
  • Directive 2002/327 กำหนดจำนวนการปนเปื้อนของสารบางประเภทในวัตถุดิบ อาหารสัตว์สำเร็จรูปไว้ เช่น โลหะหนัก ด๊อกซิน มายโคท๊อกซิน เป็นต้น

ในส่วนของการติดฉลาก ยังมีข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับฉลากอาหารสัตว์เลี้ยง ประกอบด้วย   

1. ชื่อและรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบ “A complete pet food for X” หรือ “A complementary pet food for X”  โดยถ้อยคำ “complete” หรือ “complementary” สามารถใช้ถ้อยคำ “compound” แทนได้ ยกเว้นอาหารแมวและสุนัข  โดยคำว่า “complete” หมายถึงอาหารสัตว์เลี้ยงนั้นมีโภชนาการครบถ้วนสำหรับ 1 วัน ส่วน “complementary” หมายถึงอาหารนั้นต้องนำไปผสมกับอาหารอื่นเพื่อสร้างความสมดุลของโภชนาการส่วน “X” หมายถึง ชื่อประเภทสัตว์ (เช่น แมว สุนัข) หรืออาจระบุช่วงของชีวิตสัตว์ เช่น “complete food for adult dogs” ผู้ผลิตอาจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีส่วนผสมประเภทต่างๆ เช่น ไก่ แครอท ปลา เนื้อวัว ส่วนผสมบางอย่าง เช่น แต่งกลิ่น หรือ สมุนไพร เป็นต้น จำเป็นต้องรวมไว้ในระดับต่ำสุด

2) รายการส่วนประกอบของอาหารสัตว์เลี้ยง ผู้ผลิตอาจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีวิธีการแจ้งส่วนผสมในอาหารได้ 2 แบบ คือ แจ้งตามชื่อกลุ่ม (category name) ตามที่กำหนดไว้ในกฎระเบียบของ EU (เช่น meat and animal derivatives) ผัก ธัญพืช เป็นต้น หรือชื่อส่วนผสมเดียว ( เช่น dehydrated chicken protein ข้าวสาลี อาหารจากถั่วเหลือง แป้งข้าวโพด ไขมันไก่ เป็นต้น)

3) ข้อมูลระดับของโภชนาการ โดยข้อกำหนดโภชนาการของสุนัขแต่ละตัวจะแตกต่างกันตามขนาด อายุ และระดับกิจกรรม เช่น

4) ข้อมูลสารเติมแต่ง  อาจรวมถึงวิตามิน กลิ่น สารกันบูด สี แอนตี้อ๊อกซิแดนส์ ซึ่งต้องผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยก่อนนำมาใช้ในอาหารสัตว์เลี้ยง

5) วันบริโภค (best before date) และ Batch code 

6) ชื่อผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายและข้อมูลการติดติอ

7) วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ (วิธีการให้อาหาร)  

8) ข้อมูลแจ้งน้ำหนัก และ/หรือปริมาณของผลิตภัณฑ์    

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปนถูกขับเคลื่อนจากปัจจัยทางสังคมทั้งในแง่สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มขึ้นที่นำสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงเป็นเพื่อนจากการอาศัยอยู่เพียงลำพังโดยเฉพาะสุนัขและแมวซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงในสเปนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความรักและใส่ใจในสุขภาพของสัตว์เลี้ยงทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงให้ความสำคัญกับอาหารที่มีส่วนผสมธรรมชาติและออร์แกนิค รวมทั้งอาหารที่คล้ายคลึงกับอาหารของมนุษย์มากขึ้น ขณะเดียวกันประเภทอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสำหรับสุนัขก็ได้รับความนิยมมากเมื่อเทียบกับอาหารแบบแห้ง นอกจากนี้ อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่ใช้ง่าย รักษาความสดใหม่ และสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมก็เป็นส่วนสำคัญที่ควรจะต้องคำนึงและความใส่ใจสำหรับผู้ผลิต การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่ตอบสนองและสอดคล้องกับลักษณะความต้องการของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอาหารสัตว์เลี้ยงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อกำหนดการติดฉลากสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงตามที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ จะช่วยขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของสเปนได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

OMD KM

FREE
VIEW